พ.ร.บ.โรงงาน ฉบับแก้ไข เพื่อสุขภาพประชาชนหรือเพื่อใคร?
มองย้อนกลับไปเมื่อปี 62 “พ.ร.บ. โรงงาน” พ.ศ. 2535 ได้ถูกแก้ไข โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการแข่งขัน มีความคล่องตัว สะดวกสบายมากขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและประเทศ แต่ พ.ร.บ.ที่แก้ไขกลับดูกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และไร้ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
การแก้ไขครั้งนั้นส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมอย่างไร?
เริ่มจากจุดเล็กๆ อย่างคำนิยาม ของคำว่า “โรงงาน” ที่มีการแก้ไขให้หมายถึง อาคาร สถานที่ พาหนะที่ใช้เครื่องจักรตั้งแต่ 50 แรงม้า หรือกิจการที่มีคนงานตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป เท่ากับว่า..หากมีเครื่องจักรหรือคนงานน้อยกว่านี้จะไม่ถูกจัดว่าเป็นโรงงาน สามารถประกอบกิจการโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงผังเมืองหรือทำเลที่ตั้งก็ได้
หากผู้ประกอบการที่มีเครื่องจักรไม่ถึง 50 แรงม้า หรือกิจการที่มีคนงานตั้งแต่ 50 คน ก็ไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการ พ.ร.บ.เดิมที่เคยให้ผู้ประกอบการทั่วไปต่ออายุใบ(ร.ง.4) ทุกๆ 5 ปี ก็ถูกแก้ไขให้ไม่ต้องต่ออายุอีกต่อไปแล้ว นั่นหมายความว่า การตรวจสอบสภาพโรงงาน เครื่องจักร รวมถึงควมปลอดภัยต่างๆ ต้องถูกละเลย
ผู้ตรวจสอบเอกชนสามารถตรวจสอบโรงงานได้แทนเจ้าหน้าที่รัฐ การแก้ไขพ.ร.บ.เช่นนี้ จะนำไปสู่การเปิดโอกาสที่จะทำเป็นธุรกิจแบบที่ไม่ตรงตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและความปลอบภัย อีกทั้งภาครัฐไม่สามารถตรวจสอบสภาพแวดล้อมโรงงานและออกมาตราการกำกับดูแลได้
มาตรการที่ใช้รักษาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนอย่างหลักประกัน กองทุนเพื่อเยียวยาความเสียหายจากการประกอบกิจการโรงงานให้กลับสู่สภาพที่เหมาะสมถูกตัดออกไป นอกจากนี้ ‘คุณอานนท์ วังวสุ’ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย อธิบายว่า “กฎหมายไทยและพ.ร.บ.โรงงาน ไม่มีกำหนดไว้ว่าโรงงานหรือธุรกิจแต่ละประเภทจะต้องทำ ‘ประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอก’ เอาไว้เท่าไร” เป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการมากกว่าสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน
บทลงโทษที่แสนจะล้าสมัยและไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะปราบปรามผู้กระทำผิด กลับไม่ถูกแก้ไขและปรับปรุงสักนิดเดียว อีกทั้งยังผลักภาระให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระบทบอย่างประชาชนไปฟ้องร้องศาลเอาเอง เพื่อที่จะได้เรียกค่าเสียหายจากภาครัฐ
แม้จะบอกว่า พ.ร.บ.นี้ปลอดภัยและไม่ก่อปัญหาสิ่งแวดล้อมใดๆ แต่เรายังไม่เห็นประโยชน์ต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมเลยสักนิดเดียว
ภัยพิบัติสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
เมื่อกลางดึกของวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ที่ตั้งอยู่ในซอยกิ่งแก้ว 21 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ได้เกิดระเบิดอย่างรุนแรงและได้สร้างความเสียหายต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่
ประชาชนจึงออกมาตั้งคำถามว่า..ทำไมโรงงานถึงตั้งในเขตชุมชนได้ แต่ความจริงแล้วโรงงานแห่งนี้ก่อตั้งมานานกว่า 32 ปี ก่อนที่จะมีพ.ร.บ.โรงงาน ปี 2535 เกิดขึ้นเสียอีก แม้ว่าหมิงตี้จะทำประกันไว้ 400 ล้านบาท แต่มีทุนประกันเพียง 20 ล้านบาทเท่านั้น ที่เป็นการทำประกันสำหรับ ‘รับผิดต่อบุคคลภายนอก’ ทำให้ไม่ทราบเลยว่าหมิงตี้ ประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์ระเบิด และจะชดเชยให้กับผู้เสียหายอย่างไร นอกจากเงินทุนประกัน 20 ล้านบาทที่บริษัททำไว้
แต่แล้ว..เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตสารเคมีภายในนิคมอุตสาหกรรมบางปู ซอย 1 หมู่ 2 ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ คาดว่าส่วนที่เกิดเพลิงไหม้น่าจะเป็นโกดังเก็บสารแอมโมเนีย ตอนนี้ทำได้เพียงแค่ตรวจสอบหาสาเหตุการเกิดไฟไหม้ ไม่มีข้อมูลที่ชุมชนโดยรอบได้รับการเยียวยาในด้านความเสียหายจากครัวเรือนและสภาพจิตใจที่หนีตายกันจ้าระหวั่น
ทั้งสองเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในเวลาที่ต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเกิดในเขตชุมชน ภาครัฐต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้โรงงานเหล่านี้ปรับปรุง แก้ไข ไปจนถึงย้ายโรงงาน โดยที่โรงงานไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเองมากนัก แม้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญแต่หากรัฐบาลยังเลือกที่จะเผิกเฉย นั่นคือสิ่งที่ย้ำเตือนว่า “สุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งสุดท้ายที่รัฐบาลจะนึกถึง “