“น้ำทะเลสีเขียว” ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ส่งผลร้ายต่อระบบนิเวศ
จากเหตุการณ์น้ำมันรั่วลงทะเลครั้งใหญ่ เมื่อปี 2556 ในพื้นที่อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ต.เพ อ.เมือง จ.ระยอง ความอุดสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ล้วนจมอยู่กับคราบน้ำมัน กลิ่นมลพิษ จึงนำมาสู่กิจกรรม INFINITY DESIGN FOR BLUE ที่จะมาช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่กำลังจะค่อยๆ หายไป ให้กลับมาสวยงามดังเดิม
หากนึกถึงทะเลใกล้กรุงเทพ คงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากทะเลใน “จ.ชลบุรี” แต่หลายคงต้องกลับมาพร้อมความผิดหวังที่จะได้เห็นทะเลสวย น้ำใส แต่กลับได้เห็นน้ำทะเลสีเขียว ส่งกลิ่นเหม็นมาแทนที่ แม้เหตุการณ์นี้จะเป็นปรากฏการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นเองได้ตาธรรมชาติ แต่หลายปีที่ผ่านมา..น้ำทะเลสีเขียวกลับเริ่มส่งผลกระทบที่ทวีความรุนแรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เราจะมาพูดถึงปรากฏการณ์น้ำทะเลสีเขียวนี้ว่าคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
น้ำทะเลสีเขียว นี้เรียกว่าอะไร
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “แพลงก์ตอนบลูม” หรือ “ขี้ปลาวาฬ” ที่สามารถเกิดขึ้นเองได้ทุกปีในช่วงหน้าฝนและจะหายไปเองโดยธรรมชาติไม่เกิน 7 วัน บริเวณที่เกิดแพลงก์ตอนบลูม จึงมักถูกเรียกว่า “เขตแห่งความตาย”
แพลงก์ตอนบลูม เกิดขึ้นได้อย่างไร
สารอาหารในทะเลเข้มข้น
เมื่อฝนเริ่มตกบ่อยขึ้น สารอาหารที่ทำให้แพลงก์ตอนเจริญเติบโตไหลลงสู่ทะเล เมื่อมีสารอาหารปริมาณมากประกอบกับมีแสงแดด ช่วยให้แพลงก์ตอนสังเคราะห์แสงได้ดี ขยายพันธุ์ได้เร็ว ทำให้เกิดมีจำนวนมหาศาลจนเข้มข้นกลายเป็นสีเขียว
สภาพอากาศแปรปรวนและคลื่นลมแรง
พายุก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีปริมาณธาตุอาหารและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของแพลงก์ตอน หรือ การเกิดน้ำผุด (up welling) เป็นขบวนการที่น้ำเบื้องล่างถูกพัดพาขึ้นมาเบื้องบน เป็นการนำธาตุอาหารจากพื้นน้ำเข้ามาสู่ผิวน้ำ
ปรากฎการณ์เอลนีโญ
การเกิดแพลงตอนบลูม จ.ชลบุรี เกิดจากสาหร่ายสายพันธุ์ “น็อกติลูกา” ซึ่งเชื่อว่าเป็นสายพันธุ์สาหร่ายที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับปรากฏการณ์เอลนิโญ ที่ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลที่อุ่นกว่าปกติเดิมจะอยู่ในช่วง 25-27 องศาเซลเซียส แต่พบค่าน้ำทะเลเป็น 30-31 องศาเซลเซียส แพลงก์ตอนจึงเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากธรรมชาติจะทำให้เกิดปรากฎการณ์แพลงก์ตอนบลูมแล้ว น้ำจากการทำการเกษตร น้ำเสียและสิ่งปฏิกูล แม้กระทั่งเหตุการณ์ “น้ำมันดิบรั่วไหล” ก็มีส่วนทำให้เกิดแพลงก์ตอนบลูมถี่มากยิ่งขึ้น ทำลายสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งทะเลเช่นกัน
ข่าวด่วน!
แนวปะการังกำลังถูกทำลาย
ตั้งแต่ปี 2540-2565 ประเทศไทยเคยเกิดเหตุ “น้ำมันรั่วไหล” มาแล้ว 176 เหตุการณ์ และเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ที่บริเวณตอนใต้ของเกาะสีชัง จ.ชลบุรี แม้ว่าจะสามารถจขัดคราบน้ำมัน แต่มันย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลและสร้างความเสียหายในระยะยาว โดยเฉพาะตาม “แนวประการัง”
เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า..น้ำมัน คราบน้ำมัน รวมถึงสารขจัดคราบน้ำมัน สามารถทำให้ปะการังเป็นหมัน เพราะไม่สามารถปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ไข่ และสเปิร์มได้ หรือต่อให้สามารถปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ไข่และสเปิร์ม เซลล์สืบพันธุ์ที่ถูกปล่อยออกมามีรูปร่างที่ผิดปกติ เลวร้ายที่สุด…เมื่อปะการังโดนน้ำมันโดยตรง ก็จะขาวและตายในทันที
อย่างไรก็ตาม..เหตุการณ์นี้ไม่ใช่บทเรียนครั้งใหม่ของไทย ประจวบเหมาะกับปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบูม ทำให้เหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหล และปรากฎการณ์แพลงก์ตอนบลูมในครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรงและมีผลกระทบในหลายมิติ
ผลเสียของ “แพลงก์ตอนบลูม”
แพลงก์ตอนบลูมให้ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำ ห่วงโซ่อาการ และทำลายระบบนิเวศใต้ท้องทะเลในที่สุด ตลอดจนการประมงชายฝั่ง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และภาพลักษณ์การท่องเที่ยว
สามารถป้องกัน “แพงก์ตอนบลูม” อย่างไร
การป้องให้ห้ามเกิดขึ้นเลยก็คงไม่ได้ แต่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดถี่จนเกินไป ได้หลายวิถี เช่น ลดการปล่อยสารอาหารลงสู่ทะเล เช่น ลดการใช้ปุ๋ยหรือพื้นที่เกษตร บำบัดน้ำเสียให้ถูกต้อง และให้ความรู้ถึงอันตรายต่อสุขภาพที่เกิดจากแพลงก์ตอนบลูม และวิธีการปกป้องตัวเองและครอบครัว
ทั้งนี้ INFINITY DESIGN ได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของท้องทะเล จึงร่วมกันสร้างกิจกรรมการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอ ทั้งในส่วนของท้องทะเลและผืนป่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บขยะ, ปล่อยประการัง, ปลูกป่าชายเลน, ซึ่งเพื่อนๆ สามารถดูรายละเอียด พร้อมภาพกิจกรรมได้ด้านล่างเลยค่ะ
บ้านจะสวยได้อย่างไร … ?
ถ้าบ้านหลังใหญ่ยังถูกทำลาย
ขอบคุณข้อมูลจาก thaipost, thairath, BBC News, MTHAI